คุณอาจจะไม่แปลกใจที่เพลงอย่าง “Preacher's Kid” (ลูกนักเทศน์) ที่แต่งและร้องโดยศิลปินที่มีพ่อเป็นศิษยาภิบาล จะขึ้นอันดับหนึ่ง iTunes ประเภทอัลบั้มเพลงคริสเตียน แต่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว (กุมภาพันธ์ ปี 2021) กับเกรซ เซมเล่อร์ บาลดริดจ์ หรือที่รู้จักในวงการว่า “เซมเล่อร์” แต่เนื้อร้องในอัลบั้มนั้นอาจจะเล่าเรื่องที่แตกต่างไปจากที่คุณคาดคิด
ในผลงานชิ้นนี้ เซมเล่อร์ถ่ายทอดชีวิตคริสเตียนผ่านมุมมองของคนที่เป็นเควียร์ (queer) ทั้งเรื่องความสำคัญของข่าวประเสริฐ การผลักดันทางสังคม จนถึงประสบการณ์ในค่ายเยาวชนคริสเตียน…
นี่คือบทสัมภาษณ์ระหว่าง มิเชล มาร์ติน ผู้สื่อข่าวจาก NPR และเซมเล่อร์
มิเชล: ช่วยพูดถึงประวัติชีวิตของคุณโดยคร่าวๆ ได้ไหม?
เซมเล่อร์: ได้ค่ะ พ่อของฉันเป็นบาทหลวงในนิกายอิปิสโคปัล (episcopal) และฉันก็เติบโตในโบสถ์ ทั้งชีวิตของฉัน สภาพแวดล้อม ความทรงจำทั้งหมด ถูกหล่อหลอมโดยความเชื่อ ซึ่งมันก็ดีในบางเรื่อง แต่บางเรื่องก็ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเมื่อฉันค้นพบตัวเองช่วงวัยรุ่นว่า ฉันเป็นเควียร์
มิเชล: ช่วยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหน่อยได้ไหม เพราะเท่าที่ฉันรู้คือ มีบางโบสถ์ที่ต้อนรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่ก็มีบางที่ที่บังคับให้คนที่เป็นเกย์เปลี่ยนกลับไปชอบเพศตรงข้าม หรือขับไล่ออกจากบ้านไปเลย แต่คุณไม่เจออะไรอย่างนั้นใช่ไหม?
เซมเล่อร์: ถึงแม้โบสถ์ของฉันจะยอมรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ แต่ก็ไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้แต่อย่างใด ก็เป็นเหมือนโบสถ์อื่นๆ ที่ยอมรับเรื่องพวกนี้ ในช่วงยุคปี 2010 ไม่ได้มีธงสีรุ้งตั้งอยู่หน้าโบสถ์ อะไรแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้มีคำสอนที่ต่อต้านเกย์เช่นกัน ฉันจึงไม่ได้รับการปกป้องจากสังคมคริสเตียนโดยกว้างเท่าไหร่
ฉันจำได้ตอนที่กลุ่มเยาวชนคริสเตียนชื่อ Young Life มาที่โรงเรียนของฉัน และสอนแนวทางศาสนาที่น่าสับสนสำหรับฉัน ว่าการที่ฉันเป็นเควียร์คือสิ่งที่ฉันต้องซ่อนหรือรู้สึกอับอาย มันทำให้ฉันรู้ว่าสังคมคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้
ฉันเคยอธิษฐานแตะมือให้กับเด็กคนหนึ่งที่เป็นเกย์ที่ค่ายของโบสถ์ และมีความคิดขึ้นมาในหัวว่า “ตายแล้ว เรากำลังอธิษฐานไม่ให้เด็กคนนี้เป็นแบบฉัน เพราะฉันก็เป็นเกย์” มันทำให้ฉันตระหนักว่าฉันต้องเก็บความลับนี้ไว้ เพราะฉันไม่อยากให้ใครมาอธิษฐานให้ฉันแบบนี้ ไม่อยากที่จะมานั่งร้องไห้ต่อหน้าคนแปลกหน้าแบบนี้ ตอนนี้ไม่รู้เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ป่านนี้คงอายุ 30 กว่าๆ ฉันจำชื่อเธอไม่ได้ แต่ก็ยังลืมเธอไม่ลง
มิเชล: "แต่ฉันก็คือลูกของพระเจ้าเหมือนกัน / เผื่อคุณอาจจะลืมไป / แม้คุณจะพยายามขับไสไล่ส่งฉันเพียงใด / แต่นั่นมันเป็นปัญหาของคุณ ไม่ใช่ของฉัน / สุดท้ายฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก"
เนื้อเพลงนี้มันทรงพลังมาก คุณรู้มาโดยตลอดไหม ว่าคุณจะสามารถทำใจกับเรื่องแบบนี้ได้?
เซมเล่อร์: ไม่เลยค่ะ มีหลายคืนที่ฉันนอนฟังเพลงนมัสการคนเดียวในห้อง และคิดว่า “จะมีวันไหนบ้างไหมที่ฉันจะรู้สึกโอเค?” ฉันไม่เคยรู้เลยว่าวันหนึ่งฉันจะรู้สึกโอเคกับชีวิต แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขกับชีวิต ฉันอยากแสดงตัวตนและช่วยคนที่เป็นเหมือนฉันผ่านบทเพลง ซึ่งจริงๆ แล้วมันคือสิ่งที่ฉันอยากบอกตัวฉันเองในวัยเด็ก เพื่อมอบอ้อมกอดให้กับเด็กคนนั้น
มิเชล: คุณตั้งใจที่จะให้อัลบั้มนี้เป็นเพลงคริสเตียนใช่ไหม? นี่คือการปลอบใจตัวคุณในวัยเด็กหรือเปล่า? ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างความเชื่อกับความเป็นตัวตนของคุณ
เซมเล่อร์: สำหรับฉัน มันเป็นอย่างเดียวกันค่ะ ฉันเป็นคนสมบูรณ์ในพระคริสต์ และฉันเป็นเควียร์ ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และฉันก็คิดว่า “Preacher's Kid” คืออัลบั้มเพลงคริสเตียน แม้ว่าอาจจะมีผู้ใหญ่หลายคนในวงการที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม ฉันอยู่ที่นี่ ฉันใช้ชีวิตแบบคริสเตียน ซึ่งมันสำคัญมากๆ สำหรับตัวฉัน แม้ในศาสนาคริสต์เองก็มีความหลากหลายทางความเชื่อ แล้วทำไมเพลงคริสเตียนจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ แต่สำหรับบางคน กลับเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดและอันตราย ซึ่งคริสเตียนเองส่วนใหญ่มักมองโลกเป็นขาวดำ แต่คำถามคือ แล้วเราจะสามารถพูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรล่ะ? ถ้ามีคนที่ต้องการการยอมรับจากพวกคุณ แล้วเขาจะไปหามันจากที่ไหน?
มิเชล: คุณหวังที่จะโน้มน้าวคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณหรือไม่?
เซมเล่อร์: ฉันว่ามันไม่ใช่ว่าฉันต้องไปโน้มน้าวใคร แต่อัลบั้มนี้เป็นการเชื้อเชิญให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของฉัน มีท่อนหนึ่งของเพลง "Bethlehem" ที่คนมักแชร์กัน คือ "แต่ฉันก็คือลูกของพระเจ้าเหมือนกัน / เผื่อคุณอาจจะลืมไป” ฉันว่าคริสเตียนหลายคนมักถูกสอนให้มองทุกคนว่าคือพระฉายของพระเจ้า แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่ทำเช่นนั้นกับกลุ่มคนที่เป็น LGBTQ+ ฉันจึงต้องการที่จะฉายแสงให้กับความจริงนี้ และเชื้อเชิญให้คริสเตียนได้เรียนรู้หลักคำสอนแนว affirming มากขึ้น ด้วยคำถามที่ว่า "เป็นไปได้ไหมว่า สิ่งที่คุณเชื่อมันผิด?" ว่า “คำสอนที่กีดกันผู้อื่นอาจจะไม่ใช่คำตอบ?” จึงขอเชื้อเชิญทุกคนให้มาพบเจอกันคนละครึ่งทางค่ะ เพราะคนที่เป็น LGBT ได้รณรงค์เรื่องพวกนี้มาเยอะแล้ว แต่กลับกัน ฉันไม่เคยเห็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะเคยเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เลย