Based on: https://reformationproject.org/case/celibacy/
คำถามชวนคุย 🗣️
- คุณรู้จักใครที่บอกว่า เขามีของประทานการเป็นโสดจากพระเจ้าบ้าง คุณรู้สึกยังไงกับการตัดสินใจของเขา
- คุณคิดว่าตัวเองมีของประทานการเป็นโสดหรือไม่
คุณอาจเคยได้ยินมาว่า
ถ้าเกย์คริสเตียนไม่สามารถแต่งงานกับคนเพศตรงข้ามได้ กฎเกณฑ์ในพระคัมภีร์ต่อคนที่มีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันก็คือ “ให้พวกเขาครองตัวเป็นโสดและถือรักษาพรหมจรรย์”
แต่บทนี้กำลังจะนำเสนอว่า
“การครองตัวเป็นโสด” เป็นของประทาน ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบังคับใครต่อใครให้เป็นได้
พระคัมภีร์สอนว่า “การครองตัวเป็นโสด” เป็นของประทาน ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบังคับใครต่อใครให้เป็นได้
- เรื่องราวการทรงสร้างในพันธสัญญาเดิมได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ควรให้ชายคนนี้อยู่คนเดียวลำพัง” (ปฐมกาล 2:18)
- ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูตอบสาวกที่มาถามพระเยซูว่า “ถ้าสภาพระหว่างสามีและภรรยาเป็นอย่างนี้ก็อย่าแต่งงานเลยดีกว่า” พระเยซูเลยตอบว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่รับข้อนี้ได้เว้นแต่บรรดาผู้ที่ประทานให้ เพราะบางคนก็เกิดมาเป็นขันที บางคนก็ถูกมนุษย์ทำให้เป็นเช่นนั้น และที่ครองตัวเป็นโสดเพื่ออาณาจักรสวรรค์ก็มี ใครยอมรับเช่นนี้ได้ก็จงรับเถิด” (มัทธิว 19:11-12) เปาโลก็เป็นอีกคนที่พูดว่า “ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกที่ไม่แต่งงานและพวกแม่ม่ายว่า การที่พวกเขาจะอยู่เหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว แต่ถ้าควบคุมตัวไม่อยู่ ก็จงแต่งงานเสียเถิด เพราะว่าแต่งงานเสียก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ” (1 โครินธ์ 7:7-9)
- การเรียกร้องและสั่งสอนให้เกย์คริสเตียนทุกคนครองตัวเป็นโสดและรักษาพรหมจรรย์ด้วยความกดดันตึงเครียดนี้ เป็นสิ่งที่คริสเตียนตามธรรมเนียมยึดถือมากว่าสองพันปี
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระคัมภีร์และธรรมเนียมปฎิบัติต่างๆ ของคริสเตียนที่สอนเกี่ยวกับการเป็นโสดได้ในบทที่ 3 ของหนังสือ "God and the Gay Christian."
คนที่มีเพศสภาพตรงตามเพศกำเนิดก็ถูก “บังคับ” ให้ถือรักษาพรหมจรรย์เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
- คำตอบก็คือ “ไม่” ความแตกต่างอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่คนที่มีเพศภาพตรงกับเพศกำเนิดเจอคู่ของตัวเอง พวกเขามีอิสระที่จะแต่งงาน ในขณะที่ LGBTQ ไม่มีทางเลือกแบบนั้น
- เหตุผลหลักๆ อีกอย่างที่คน ๆ หนึ่งครองตัวเป็นโสดในช่วง 1500 ปีของการเริ่มต้นคริสตจักร คริสเตียนถือว่าการครองตัวเป็นโสดเป็นการทรงเรียกพิเศษกว่าการแต่งงาน แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่เคยกล่าวโทษการแต่งงาน พวกเขาไม่สามารถมองว่าเพศสัมพันธ์เป็นความบาปโดยเนื้อแท้ที่ปราศจากการทำลายหลักศาสนศาสตร์ของการทรงสร้าง การเกิดเป็นมนุษย์แล้วเข้ามาอยู่ในโลกและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซูได้
- มากไปกว่านั้น นักศาสนศาสตร์สายคริสเตียนโปรแตสแตนท์และคาทอลิกเห็นตรงกันว่า การเป็นโสดควรเป็นไปเพื่อสนับสนุนการแต่งงานในทางที่ดี มากว่าทางที่แย่ คริสเตียนที่เป็นโสดได้ทำให้คริสเตียนที่แต่งงานได้คิดถึงเป้าหมายของความสัมพันธ์ที่มุ่งตรงไปที่การเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์
- แต่กลุ่มที่ไม่สนับสนุน LGBTQ กลับเรียกร้องให้คริสเตียนที่เป็นเกย์ต้องรักษาความบริสุทธิ์ ปฎิเสธความรู้สึกทางเพศ ซึ่งไม่ได้มองในแง่ของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเยซูคริสต์
“มันไม่ดีที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว” ปฐมกาล 2:18
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพันธกิจแก้เกย์ ("Ex-Gay" Ministries)
เป็นเวลากว่าศตวรรษที่คริสเตียอนุรักษ์นิยมให้กำลังใจเกย์คริสเตียนให้เข้ารับการบำบัดให้หลุดพ้นจากการเป็นเกย์ และเพื่อพัฒนาให้คนๆนั้นกลับมาอยู่ในแนวทงรักต่างเพศให้ได้
- ในปี 2013 Exodus International องค์กรแนวหน้าที่มีพันธกิจช่วยให้คนหลุดพ้นจากการเป็นเกย์ได้ปิดตัวลงและได้ออกมายอมรับว่า “การบำบัดคนรักเพศเดียวกัน” ได้สร้างบาดแผลให้กับ LGBTQ หลายคน
- โดยปีก่อนนั้น อลัน แชมเบอร์ส ประธานองค์กรได้ออกมายอมรับว่า 99.9% ของคนที่เขารู้จักไม่สามารถเปลี่ยนเพศสภาพได้
- แชมเบอร์สได้ขอโทษสำหรับความน่าอับอาย ความหวังใจผิด ๆ ความเจ็บปวดซ้ำ ๆ ที่องค์กรเขาได้ทำต่อผู้คนอย่างหาที่สุดไม่ได้ และเขาไม่สนับสนุนการบำบัดรักษาคนรักเพศเดียวกันอีกต่อไป
เพศสภาพไม่ใช่ทางเลือก และไม่ใช่อะไรบางอย่างที่ใครๆ ก็เปลี่ยนได้
- ตอนนี้ผู้นำจากหลายหลายวงการไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรด้านสุขภาพไปจนถึงผู้นำในคริสตจักรแบ๊บติสท์ตอนใต้ ได้ปฏิเสธความพยายามในการบำบัดคนรักเพศเดียวกันแล้ว โดยรัสเซลล์ มอร์ได้ประณามความพยายามดังกล่าวว่าเป็นความพยายามที่ไม่สร้างสรรค์อย่างรุนแรง
- ข้อมูลเชิงลึกของความล้มเหลวของพันธกิจเปลี่ยนคนรักเพศเดียวกัน สามารถหาอ่านได้ในหนังสือชื่อว่า Torn เขียนโดย Justin Lee
“ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมรู้สึกเสียใจมาก ๆ ผมขอโทษที่พยายามเชิญชวนให้คนเปลี่ยนเพศสภาพ” อลัน แชมเบอร์ส อตีดประธานองค์กร Exodus International กล่าว
คำถาม: การบอกว่าการเรียกร้องให้เกย์คริสเตียนครองความเป็นโสดนั้นอันตราย เป็นการลดทอนคุณค่าของการเป็นโสดหรือเปล่า?
- ไม่เลย การเป็นโสดควรเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเหมือนๆ กับการเดินทางทางจิตวิญญาณแบบอื่นๆ แต่จุดเริ่มต้นของประสบการณ์การเป็นโสดที่ต่างออกไปก็คือ การที่คุณถือว่าทุกประสบการณ์ของแรงดึงดูดทางเพศที่คุณมีเป็นเรื่องที่น่าอับอาย และเป็นการทดลองของความบาป
- ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา’ ส่วนเราบอกพวกท่านว่า ใครมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น คนนั้นได้ล่วงประเวณีในใจของเขากับหญิงนั้นแล้ว ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก ถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ตัวท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก” มัทธิว 5:21-30
- แม้คริสเตียนที่ต่อต้าน LGBTQ จะบอกว่าการเป็นเกย์ไม่ผิด ตราบใดที่คุณไม่ได้เข้าไปสู่การร่วมเพศ แต่ประเด็นนี้ไม่ได้ตรงหลักการพระคัมภีร์นัก มันไม่สมเหตุสมผลไปกว่ากันเลยที่จะบอกว่า “มันโอเคนะ ที่จะเป็นเกย์ตราบใดที่คุณไม่ได้แสดงออกมา” เมื่อเทียบกับการพูดว่า “มันโอเคนะที่จะโลภ ตราบใดที่คุณยังไม่ได้ไปขโมยของ”
- ฝ่ายที่ไม่สนับสนุน LGBTQ เรียกร้องให้เกย์คริสเตียนกลับตัวกลับใจจากประสบการณ์ความต้องการทางเพศทุกรูปแบบ ความล้มเหลวของการเคลื่อนไหวโครงการ ”เปลี่ยนเกย์ให้กลับใจ“ แสดงให้เห็นว่าเป็นแนวทางที่ไม่เกิดประโยชน์ใดใด นั่นเลยเป็นเหตุผลที่อดีตประธานองค์กร Exodus International ได้ออกมาขอโทษที่องค์กรได้สร้างบาดแผลให้กับคริสเตียนเดียว LGBTQ มากมาย
หมายความว่า เราควรจะระมัดระวังไม่ใช่แค่ความบาปทางการการทำ แต่เป็นความคิดความปรารถนา ตัณหา ที่นำไปสู่การล่วงประเวณี ความโกรธที่นำไปสู่การเป็นฆาตกร ถ้าความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันเป็นความบาป การมีความรู้สึกต่อคนเพศเดียวกันก็เป็นความผิดทางศีลธรรมเหมือนกัน
การเรียกร้องให้คริสเตียนเกย์ครองตัวเป็นโสดเพื่อกดความต้องการทางเพศไว้ เป็นการทำลายความเข้าใจเรื่องการครองตัวเป็นโสดตามประวัติศาสตร์คริสเตียน
คำถามชวนคุย 🗣️
- คุณรู้สึกยังไงกับการบังคับที่บอกว่า คุณจะต้องถือครองโสดตลอดชีวิตถ้าคุณเป็น LGBTQ ถึงแม้คุณจะเชื่อมั่นว่าคุณไม่ได้มีของประทานการเป็นโสดก็ตาม?