Based on: https://reformationproject.org/case/arc-of-scripture/
คำถามชวนคุย 🗣️
- คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับคำพูดของคริสเตียนบางกลุ่มที่บอกว่า เราไม่ควรยกเลิกระบบทาส และผู้หญิงไม่ควรมีสิทธิ์เท่ากับผู้ชาย?
คุณอาจเคยได้ยินมาว่า
พระคัมภีร์สอนให้ปฏิเสธการรักร่วมเพศในโลกยุคนั้น คริสเตียนในปัจจุบันจึงควรปฏิเสธวัฒนธรรม LGBT ของโลกยุคนี้เช่นเดียวกัน
แต่บทนี้กำลังจะนำเสนอว่า
แนวคำสอนของพระคัมภีร์มุ่งไปยังการนำผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมในแผ่นดินของพระเจ้า (inclusion) ไม่ใช่กีดกันคนออก (exclusion)
ในหนังสือ Slaves, Women, and Homosexuals ของ William Web ในปี 2001 ได้นำเสนอวลี “การตีความพระคัมภีร์ตามแนวขับเคลื่อนแห่งการไถ่ (redemptive-movement hermeneutic)” ที่ใช้เรียกวิธีการตีความพระคัมภีร์ที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย
- Webb กล่าวว่า คริสเตียนไม่ควรสนใจการแปลคำศัพท์แบบโดดๆ มากกว่าทิศทางของพระคัมภีร์ต่อบริบทสังคมในสมัยนั้น
- ในเรื่องของทาสและผู้หญิง Webb เขียนว่า คำสอนในพระคัมภีร์อาจจะฟังดูโบราณในสายตาของคนปัจจุบัน แต่เมื่อเทียบกับวัฒนธรรมสมัยนั้นแล้วถือว่ามีทิศทางที่ให้เสรีภาพกว่ามาก ดังนั้น การสนับสนุนการเลิกทาส และความเท่าเทียมทางเพศ จึงเป็นการน้อมรับวิญญาณแห่งการไถ่ของพระคัมภีร์
- แต่ Webb อ้างว่า พระคัมภีร์นั้นต่อต้านความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันเมื่อเทียบกับค่านิยมของคนสมัยนั้น ดังนั้นเมื่อโลกน้อมรับ LGBTQ มากขึ้น คริสเตียนจึงควรต้องต่อต้านมากขึ้นด้วย
Q: พระคัมภีร์ขับเคลื่อนในเชิงบวกในประเด็นทาสและผู้หญิง แต่ขับเคลื่อนในเชิงลบต่อความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันไม่ใช่หรือ?
- การจะบอกว่า ชาวกรีกและโรมัน “ยอมรับความสัมพันธ์ของเพศเดียวกัน” และคริสเตียน “ต่อต้านความสัมพันธ์ของเพศเดียวกัน” นั้นก็ไม่ถูกนัก ความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันที่ชาวกรีกและโรมันยอมรับนั้น แม้แต่คนที่ไม่เป็นคริสเตียนในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมรับ เช่น โสเภณี เพศสัมพันธ์ระหว่างนายกับทาส หรือ เพศสัมพันธ์กับเด็กชาย (pederasty)
- การที่คริสเตียนยุคแรกปฏิเสธความสัมพันธ์เหล่านี้ พวกเขาได้ปฏิเสธเพศสัมพันธ์แบบสำส่อนเพื่อสนับสนุนการมีคนรักเดียว (monogamy) นั่นคือการปฏิเสธการใช้เพศสัมพันธ์ในการวางอำนาจและฐานะทางสังคม เพื่อเชิดชูเพศสัมพันธ์ที่เป็นตราสัญลักษณ์แห่งพันธะชั่วชีวิตของความรักที่ไม่เห็นแก่ตนเอง
- เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันในยุคโบราณนั่นเกิดจากพลวัตของอำนาจและความมักมากในกาม จึงไม่น่าแปลกใจที่คริสเตียนยุคแรกจะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ รวมไปถึงพฤติกรรมทางเพศนอกสมรสระหว่างชายหญิงด้วย ความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันที่เป็นรักเดียวและเต็มใจจึงเป็นคนละเรื่องที่คริสเตียนในยุคแรกยังไม่ได้เจอและยังไม่มีคำตอบสำหรับความสัมพันธ์แบบนี้
แม้ว่าในยุคนั้น ยังไม่ได้ใครได้คิดถึงการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน แนวคิดที่ปฏิเสธวัฒนธรรมทางโลกในเรื่องเพศของคริสเตียนในยุคแรกนั้นสอดคล้องกับการสมรสของเพศเดียวกันในปัจจุบัน นั่นคือเกิดจากความเต็มใจ ความรักเดียวใจเดียว และพันธสัญญาแห่งรัก
Q: เราสนับสนุนความเท่าเทียมของสตรี แต่นั่นมันคนละเรื่องกับการยอมรับ LGBTQ ไม่ใช่หรือ?
- ก็ไม่เชิงซะทีเดียว เราจะได้เห็นในบทต่อๆ ไปว่า บทบาทเรื่องเพศตามแนวคิดของชายเป็นใหญ่นั่นแหละคือสาเหตุหลักที่พระคัมภีร์ประณามความสัมพันธ์ของเพศเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม การที่พระคัมภีร์ใหม่ได้เคลื่อนไปในทางที่ส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงก็ได้ท้าทายความเชื่อแบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งคริสตจักรจะนำมาพิจารณาเรื่องการแต่งงานของเพศเดียวก้นได้
Q: มีตัวอย่างที่สามารถนำการตีความตามแนวขับเคลื่อนแห่งการไถ่มาใช้กับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วยหรือ?
- มีสิ ในพระคัมภีร์เดิม ผู้มีความแตกต่างทางเพศ เช่น ขันที หรือผู้หญิงที่เป็นหมัน ไม่สามารถมีส่วนร่วมสามัคคีธรรมได้ (ดู เฉลยธรรมบัญญติ 23:1) นั่นก็เพราะพระเจ้าได้อวยพรอิสราเอลผ่านทางการสืบทอดพงศ์พันธุ์ตามพระสัญญาเดิม การไม่แต่งงานหรือไม่มีลูกจึงเป็นตราบาปอย่างหนัก
- แต่ชีวิต ความตาย และการคืนชีวิตของพระเยซูได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดแบบเดิมไปสิ้น เดี๋ยวนี้ใครก็สามารถเข้ามาเป็นครอบครัวของพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องเกิดมาในเผ่าพันธุ์ที่พระเจ้าเลือก แต่เราต้องเกิดใหม่โดยความเชื่อในพระคริสต์ (ยอห์น 3:3)
- การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้ ขันทีและหญิงหมันก็ได้รับการต้อนรับในสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ ดังที่อิสยาห์เผยพระวัจนะไว้ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสว่า จงร้องเพลงเถิด โอ หญิงหมันที่ไม่ได้คลอดบุตร จงเปล่งเสียงร้องเพลงและจงร้องเสียงดัง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ เพราะว่าบุตรของแม่ร้างจะมีมากกว่าบุตรของหญิงที่แต่งงาน” (อิสยาห์ 54:1)
“เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เกี่ยวกับบรรดาขันทีผู้รักษาวันสะบาโตของเรา ผู้เลือกในสิ่งที่เราพอใจ และยึดมั่นในพันธะสัญญาของเรา เราจะให้อนุสรณ์แก่เขาทั้งหลาย ภายในนิเวศและภายในกำแพงของเรา ที่ดีกว่าบุตรชายและบุตรหญิง เราจะให้ชื่อนิรันดร์แก่เขาทั้งหลาย ซึ่งจะไม่ถูกตัดออกเลย” - อิสยาห์ 56:4-5
ฟิลลิปให้บัพติสมาแก่ขันทีชาวเอธิโอเปียในกิจการ 8:26-39 เราได้เห็นผู้มีความแตกต่างทางเพศเข้ามามีบทบาทในพระคัมภีร์มากขึ้น
Q: ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าพระคัมภีร์มีข้อความสนับสนุนชาว LGBTQ หรือบอกว่าการเป็น เกย์ ไบ หรือ ทรานส์ นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ใช่มั้ย
- ไม่ใช่อย่างนั้น ในพระคัมภีร์ไม่มีใครที่แสดงตัวว่าเป็น LGBTQ เนื่องจากวัฒนธรรมในสมัยก่อนมีความเข้าใจในเรื่องเพศแตกต่างไปอย่างมากกับยุคปัจจุบัน เราจึงไม่ควรพยายามหาข้อพระคัมภีร์เพื่อมาสนับสนุนคู่รักเพศเดียวกันหรือกลุ่มคน LGBTQ (บางคนอาจจะยกตัวอย่าง ดาวิดกับโยนาธาน รูธกับนาโอมี หรือนายกองชาวโรมันกับทาสของเขา ความสัมพันธ์ของบุคคลเหล่ายังต่างจากความรักที่เรากำลังพูดถึงอยู่มากนัก)
- แม้ขันทีในสมัยนั้นจะไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกับคนที่เป็นเกย์ หรือทรานส์ในปัจจุบันได้ การที่พระคัมภีร์ใหม่ได้รวมขันทีเข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้าก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เราควรต้อนรับความหลากหลายทางเพศในคริสตจักรในปัจจุบัน
คำถามชวนคุย 🗣️
- คุณชอบประเด็นไหน หรือได้เรียนรู้อะไรในวันนี้?